ความหมาย จิตวิทยา
+3
Lightdramon
Na///SodiUm
Winter
7 posters
- Winterนักล่าปริศนา
- จำนวนข้อความ : 678
ชื่อเสียง&น้ำใจ : 33
วันเกิด : 10/01/1997
ความหมาย จิตวิทยา
Thu Nov 24, 2011 8:34 pm
ความหมาย
จิตวิทยาตรงกับภาษาอังกฤษว่า Psychology ซึ่งมีรากศัพท์มาจากภาษากรีก 2 คำ ได้แก่ Psyche + Logos
Psyche ในภาษากรีกหมายถึง Mind or Soul นั่นคือ วิญญาณ หรือจิต
Logos หมายถึง Science of Study นั่นคือ วิชาการและการศึกษาหาความรู้
ดังนั้น เมื่อศัพท์ทั้งสองมารวมกันจนกลายเป็น Psychology จึงหมายความถึง วิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับวิญญาณ
จิตวิทยาเป็นวิชาที่มีการศึกษาค้นคว้าตั้งแต่ยุคสมัยกรีกโบราณเมื่อราว 384-322 ก่อนคริสตกาล โดยนักปรัชญาคนสำคัญ อาทิ เพลโต (Plato) และอริสโตเติ้ล (Aristotel) ได้พยายามทำความเข้าใจและอธิบายเกี่ยวกับธรรมชาติการแสดงออกของมนุษย์ ซึ่งแม้ว่าจะมีความคิดเห็นที่ขัดแย้งกันบ้าง แต่โดยส่วนใหญ่แล้วมีความเชื่อที่ตรงกัน นั่นคือ มนุษย์มีองค์ประกอบสำคัญ 2 ส่วน ได้แก่ ร่างกาย (Body) และวิญญาณ (Soul) โดยที่องค์ประกอบทางวิญญาณจะมีอิทธิพลที่สามารถควบคุมองค์ประกอบทางร่างกาย
พัฒนาการของวงการจิตวิทยาได้เป็น 4 ระยะ ได้แก่
- ระยะที่ 1 Science of Soul เป็นระยะที่มนุษย์มีความเชื่อเรื่องวิญญาณ การศึกษาจะมุ่งไปทางวิญญาณแต่เพียงประการเดียว โดยมีความเชื่อว่าวิญญาณมีอำนาจเหนือกว่าร่างกาย สามารถสั่งการให้ร่างกายกระทำสิ่งต่าง ๆ
- ระยะที่ 2 Science of Mind ระยะนี้นักปรัชญาได้หันมาศึกษาจิตวิทยาโดยเน้นไปทางจิต แต่ยังใช้แนวคิดทางปรัชญาเป็นหลักในการอธิบาย
- ระยะที่ 3 Science of Consciousness เป็นระยะที่อยู่ในราวศตวรรษที่ 19 ซึ่งได้นำวิธีการทาง
วิทยาศาสตร์มาใช้ในการศึกษาอธิบาย แต่ยังเน้นที่พฤติกรรมภายใน โดยปัญหาของการศึกษาอยู่ที่วิธีการทางวิทยาศาสตร์ที่นำมาศึกษายังไม่เป็นที่ยอมรับกัน
- ระยะที่ 4 Science of Behavior ระยะของพัฒนาการในขั้นนี้ถือว่าเป็นการศึกษาจิตวิทยาโดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์อย่างแม้จริง เพราะเน้นการศึกษาไปที่พฤติกรรมภายนอกที่สามารถสังเกตเห็นและพิสูจน์ได้ และได้รับการยอมรับว่าจิตวิทยาเป็น วิทยาศาสตร์ประยุกต์แขนงหนึ่ง
บทเรียนที่3
ให้สังเกตกิริยาท่าทาง
ท่าทางที่เด็กโกหกใช้บ่อย คือ การนำมือหรือนิ้วมือใส่ไปในปากก่อนโกหก หรือมีท่าทางพิรุธต่างๆ ซึ่งจับได้ง่ายกว่าผู้ใหญ่มาก, ส่วนผู้ใหญ่มักจะมีภาษาท่าทาง ในการโกหกดังต่อไปนี้
(1). Are you just nervous? = คุณเพิ่งจะเครียดหรือดูประสาทๆ หรือเปล่า?
อาการโกหก มักจะมีส่วนคล้ายความวิตกกังวลหลายอย่าง เช่น ลุกลี้ลุกลน อยู่ไม่สุข ฯลฯ ที่เป็นเช่นนั้นเพราะต้องหาทางปกปิดเพื่อปกปิดความผิดบางอย่าง ถ้าเรารู้จักว่า คนอื่นมีพื้นฐานอย่างไร แล้วอยู่ๆ ก็เปลี่ยนไป หรือไม่ก็มีความแปรปรวน ไม่เหมือนเดิม ตัวอย่างเช่น เดิมเคยนิ่งดี... อยู่ก็กระพริบตาบ่อย กลอกตาไปมาเร็ว เลียริมฝีปากบ่อย ยกมือขึ้นแตะใบหน้า ฯลฯ แบบนี้มีสิทธิ์โกหกมากขึ้น
(2). Covering up = กำลังปกปิด
คนที่โกหกมักจะหาอะไรไปบังใบหน้าหรือร่างกายมากขึ้น รูปแบบที่พบบ่อยคือ ยกมือขึ้นแตะจมูก, ท่านี้เป็นท่าที่คล้ายการยกมือขึ้นการ์ด ป้องกันหมัดหรืออันตรายจากฝ่ายตรงข้าม สังเกตว่า นักการเมืองระดับยอดของสหรัฐฯ ท่านหนึ่งเปิดเผยเรื่องความสัมพันธ์ชู้สาวต่อหน้าคณะลูกขุนด้วยท่าทางสบายๆ เมื่อถูกซักมากๆ เข้า กลับแตะจมูกทุกๆ 4 นาที รวมแล้วแตะจมูก 26 ครั้งในระหว่างการถูกซักอันแสนเครียด
(3). Excessing fidgeting = เคลื่อนไหวไปมา หรือกระวนกระวายมากเกินไป
คนที่โกหกมักจะใช้นิ้วมือถูไถ หรือไม่ก็บิดไปบิดมากับของใกล้ตัว เช่น เสื้อผ้า ฯลฯ, กล่าวกันว่า คนโกหกที่น่ากลัว คือ คนโกหกหน้าตาย หรือคนที่โกหกได้ทั้งๆ ที่ดูนิ่ง
(4). Smiling through = ยิ้มไปยิ้มมา
ภาษาอังกฤษมีสำนวนที่ใช้เรียกคนโกหกหน้ายิ้ม คือ 'grinning liar' = คนโกหกยิ้มแฉ่ง หรือคนโกหกหน้าระรื่น (ยิ้มปากกว้าง) คนเรายิ้มบ่อยกว่าเวลาพูดจริงมากกว่าโกหก, คนโกหกส่วนใหญ่จะยิ้มกว้างน้อยลง
(5). Trust your instinct = เชื่อสัญชาตญาณของคุณ
ประสบการณ์ทั่วโลกพบว่า การจับโกหกโดยใช้สัญชาตญาณหรือใช้ความรู้สึกมีโอกาสถูกไม่น้อยไปกว่าใช้วิธี การทางวิทยาศาสตร์ หรือการวิจัยสมัยใหม่ ที่เป็นไปได้ คือ นักโกหกอาชีพก็ช่างแสวงหาความรู้แบบฉลาดแกมโกงไม่น้อยไปกว่าคนดีเลย เพราะฉะนั้น... ถ้าคุณสงสัยว่า ใครกำลังจะโกหก, คุณมีสิทธิ์เดาถูกมากทีเดียว เพราะคนเรามักจะทำอะไรโดยมีจุดมุ่งหมายเสมอ เพราะฉะนั้นการฝึกมองอะไรหลายๆ มุมไว้มีแนวโน้มจะปลอดภัยกว่าการมองอะไรเพียงมุมเดียว
ตัวอย่างเช่น ถ้าเราจะคบหรือไว้ใจใครสักคน... เราควรฝึกมองคนใกล้ๆ ไว้ให้ได้ทั้งสองด้าน คือ คนๆ นี้มีดีอะไร (ฝึกคิดให้ได้หลายๆ ข้อ) และมีเสียตรงไหน ถ้าเราเริ่มจะมองใครในด้านดีหรือร้ายได้ด้าน เดียวแบบสุดๆ... ตรงนี้บอกว่า เรากำลังจะเสี่ยงต่อความลำเอียง และความลำเอียงนี้อาจทำให้ตา หรือสัญชาตญาณแห่งความปลอดภัยของเรามืดบอดไปอย่างน้อยก็ชั่วคราวทีเดียว
บทเรียนที่ 4
พฤติกรรมมนุษย์ตามแนวจิตวิทยา
นักจิตวิทยาเชื่อว่าพฤติกรรมมนุษย์ส่วนใหญ่ดังนั้นพฤติกรรมมนุษย์ อาจจะเกิดขึ้นได้ในรูปแบบต่าง ๆ ดังนี้
1. การติดต่อสื่อสาร (COMMUNICATION)
2. การขัดแย้ง (CONFLICT)
3. การแข่งขัน (COMPETITION)
4. การประนีประนอมผลประโยชน์ที่ขัดแย้งกัน (ACCOMODATION)
5. การผสมผสานกลมกลืนเข้าหากัน (ASSIMILATION)
6. การร่วมมือสนับสนุนซึ่งกันและกัน (COOPERATION)
พฤติกรรมมนุษย์ตามแนวจิตวิทยา
นักสังคมวิทยา เชื่อว่าพฤติกรรมมนุษย์ขึ้นอยู่กับอิทธิพลของสิ่งแวดล้อมหรือสภาวะภายนอกทั้งปวง (ETERNAL CONDITIONS) ที่อยู่รอบตัวของมนุษย์ ทั้งสิ่งที่มีรูปร่างและไม่มีรูปร่างตลอดจนพลังงาน
เหล่านี้ถือว่าเป็นสิ่งแวดล้อมที่มีอิทธิพลเหนือมนุษย์ทั้งในแง่ที่อำนวยให้เกิดผลดี และผลร้าย โดยที่มนุษย์ไม่มีทางหลีกหนี เราอาจจะแบ่งประเภทของสิ่งแวดล้อม ออกเป็น 3 ประการใหญ่ ๆ คือ
1. สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ
2. สิ่งแวดล้อมทางสังคม
3. สิ่งแวดล้อมทางครอบครัว
อิทธิพลของสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ เหล่านี้ ทำให้มนุษย์มีพฤติกรรมที่จะหาทางต่อสู้และเอาชนะทำให้เกิดวัฒนธรรม รูปแบบต่าง ๆ ขึ้น เช่น การคิดประดิษฐ์สิ่งต่าง ๆ การเพาะปลูก การสร้างถนนหนทาง การสร้างเครื่องมือสื่อสาร เป็นต้น
จิตวิทยาตรงกับภาษาอังกฤษว่า Psychology ซึ่งมีรากศัพท์มาจากภาษากรีก 2 คำ ได้แก่ Psyche + Logos
Psyche ในภาษากรีกหมายถึง Mind or Soul นั่นคือ วิญญาณ หรือจิต
Logos หมายถึง Science of Study นั่นคือ วิชาการและการศึกษาหาความรู้
ดังนั้น เมื่อศัพท์ทั้งสองมารวมกันจนกลายเป็น Psychology จึงหมายความถึง วิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับวิญญาณ
จิตวิทยาเป็นวิชาที่มีการศึกษาค้นคว้าตั้งแต่ยุคสมัยกรีกโบราณเมื่อราว 384-322 ก่อนคริสตกาล โดยนักปรัชญาคนสำคัญ อาทิ เพลโต (Plato) และอริสโตเติ้ล (Aristotel) ได้พยายามทำความเข้าใจและอธิบายเกี่ยวกับธรรมชาติการแสดงออกของมนุษย์ ซึ่งแม้ว่าจะมีความคิดเห็นที่ขัดแย้งกันบ้าง แต่โดยส่วนใหญ่แล้วมีความเชื่อที่ตรงกัน นั่นคือ มนุษย์มีองค์ประกอบสำคัญ 2 ส่วน ได้แก่ ร่างกาย (Body) และวิญญาณ (Soul) โดยที่องค์ประกอบทางวิญญาณจะมีอิทธิพลที่สามารถควบคุมองค์ประกอบทางร่างกาย
พัฒนาการของวงการจิตวิทยาได้เป็น 4 ระยะ ได้แก่
- ระยะที่ 1 Science of Soul เป็นระยะที่มนุษย์มีความเชื่อเรื่องวิญญาณ การศึกษาจะมุ่งไปทางวิญญาณแต่เพียงประการเดียว โดยมีความเชื่อว่าวิญญาณมีอำนาจเหนือกว่าร่างกาย สามารถสั่งการให้ร่างกายกระทำสิ่งต่าง ๆ
- ระยะที่ 2 Science of Mind ระยะนี้นักปรัชญาได้หันมาศึกษาจิตวิทยาโดยเน้นไปทางจิต แต่ยังใช้แนวคิดทางปรัชญาเป็นหลักในการอธิบาย
- ระยะที่ 3 Science of Consciousness เป็นระยะที่อยู่ในราวศตวรรษที่ 19 ซึ่งได้นำวิธีการทาง
วิทยาศาสตร์มาใช้ในการศึกษาอธิบาย แต่ยังเน้นที่พฤติกรรมภายใน โดยปัญหาของการศึกษาอยู่ที่วิธีการทางวิทยาศาสตร์ที่นำมาศึกษายังไม่เป็นที่ยอมรับกัน
- ระยะที่ 4 Science of Behavior ระยะของพัฒนาการในขั้นนี้ถือว่าเป็นการศึกษาจิตวิทยาโดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์อย่างแม้จริง เพราะเน้นการศึกษาไปที่พฤติกรรมภายนอกที่สามารถสังเกตเห็นและพิสูจน์ได้ และได้รับการยอมรับว่าจิตวิทยาเป็น วิทยาศาสตร์ประยุกต์แขนงหนึ่ง
บทเรียนที่3
ให้สังเกตกิริยาท่าทาง
ท่าทางที่เด็กโกหกใช้บ่อย คือ การนำมือหรือนิ้วมือใส่ไปในปากก่อนโกหก หรือมีท่าทางพิรุธต่างๆ ซึ่งจับได้ง่ายกว่าผู้ใหญ่มาก, ส่วนผู้ใหญ่มักจะมีภาษาท่าทาง ในการโกหกดังต่อไปนี้
(1). Are you just nervous? = คุณเพิ่งจะเครียดหรือดูประสาทๆ หรือเปล่า?
อาการโกหก มักจะมีส่วนคล้ายความวิตกกังวลหลายอย่าง เช่น ลุกลี้ลุกลน อยู่ไม่สุข ฯลฯ ที่เป็นเช่นนั้นเพราะต้องหาทางปกปิดเพื่อปกปิดความผิดบางอย่าง ถ้าเรารู้จักว่า คนอื่นมีพื้นฐานอย่างไร แล้วอยู่ๆ ก็เปลี่ยนไป หรือไม่ก็มีความแปรปรวน ไม่เหมือนเดิม ตัวอย่างเช่น เดิมเคยนิ่งดี... อยู่ก็กระพริบตาบ่อย กลอกตาไปมาเร็ว เลียริมฝีปากบ่อย ยกมือขึ้นแตะใบหน้า ฯลฯ แบบนี้มีสิทธิ์โกหกมากขึ้น
(2). Covering up = กำลังปกปิด
คนที่โกหกมักจะหาอะไรไปบังใบหน้าหรือร่างกายมากขึ้น รูปแบบที่พบบ่อยคือ ยกมือขึ้นแตะจมูก, ท่านี้เป็นท่าที่คล้ายการยกมือขึ้นการ์ด ป้องกันหมัดหรืออันตรายจากฝ่ายตรงข้าม สังเกตว่า นักการเมืองระดับยอดของสหรัฐฯ ท่านหนึ่งเปิดเผยเรื่องความสัมพันธ์ชู้สาวต่อหน้าคณะลูกขุนด้วยท่าทางสบายๆ เมื่อถูกซักมากๆ เข้า กลับแตะจมูกทุกๆ 4 นาที รวมแล้วแตะจมูก 26 ครั้งในระหว่างการถูกซักอันแสนเครียด
(3). Excessing fidgeting = เคลื่อนไหวไปมา หรือกระวนกระวายมากเกินไป
คนที่โกหกมักจะใช้นิ้วมือถูไถ หรือไม่ก็บิดไปบิดมากับของใกล้ตัว เช่น เสื้อผ้า ฯลฯ, กล่าวกันว่า คนโกหกที่น่ากลัว คือ คนโกหกหน้าตาย หรือคนที่โกหกได้ทั้งๆ ที่ดูนิ่ง
(4). Smiling through = ยิ้มไปยิ้มมา
ภาษาอังกฤษมีสำนวนที่ใช้เรียกคนโกหกหน้ายิ้ม คือ 'grinning liar' = คนโกหกยิ้มแฉ่ง หรือคนโกหกหน้าระรื่น (ยิ้มปากกว้าง) คนเรายิ้มบ่อยกว่าเวลาพูดจริงมากกว่าโกหก, คนโกหกส่วนใหญ่จะยิ้มกว้างน้อยลง
(5). Trust your instinct = เชื่อสัญชาตญาณของคุณ
ประสบการณ์ทั่วโลกพบว่า การจับโกหกโดยใช้สัญชาตญาณหรือใช้ความรู้สึกมีโอกาสถูกไม่น้อยไปกว่าใช้วิธี การทางวิทยาศาสตร์ หรือการวิจัยสมัยใหม่ ที่เป็นไปได้ คือ นักโกหกอาชีพก็ช่างแสวงหาความรู้แบบฉลาดแกมโกงไม่น้อยไปกว่าคนดีเลย เพราะฉะนั้น... ถ้าคุณสงสัยว่า ใครกำลังจะโกหก, คุณมีสิทธิ์เดาถูกมากทีเดียว เพราะคนเรามักจะทำอะไรโดยมีจุดมุ่งหมายเสมอ เพราะฉะนั้นการฝึกมองอะไรหลายๆ มุมไว้มีแนวโน้มจะปลอดภัยกว่าการมองอะไรเพียงมุมเดียว
ตัวอย่างเช่น ถ้าเราจะคบหรือไว้ใจใครสักคน... เราควรฝึกมองคนใกล้ๆ ไว้ให้ได้ทั้งสองด้าน คือ คนๆ นี้มีดีอะไร (ฝึกคิดให้ได้หลายๆ ข้อ) และมีเสียตรงไหน ถ้าเราเริ่มจะมองใครในด้านดีหรือร้ายได้ด้าน เดียวแบบสุดๆ... ตรงนี้บอกว่า เรากำลังจะเสี่ยงต่อความลำเอียง และความลำเอียงนี้อาจทำให้ตา หรือสัญชาตญาณแห่งความปลอดภัยของเรามืดบอดไปอย่างน้อยก็ชั่วคราวทีเดียว
บทเรียนที่ 4
พฤติกรรมมนุษย์ตามแนวจิตวิทยา
นักจิตวิทยาเชื่อว่าพฤติกรรมมนุษย์ส่วนใหญ่ดังนั้นพฤติกรรมมนุษย์ อาจจะเกิดขึ้นได้ในรูปแบบต่าง ๆ ดังนี้
1. การติดต่อสื่อสาร (COMMUNICATION)
2. การขัดแย้ง (CONFLICT)
3. การแข่งขัน (COMPETITION)
4. การประนีประนอมผลประโยชน์ที่ขัดแย้งกัน (ACCOMODATION)
5. การผสมผสานกลมกลืนเข้าหากัน (ASSIMILATION)
6. การร่วมมือสนับสนุนซึ่งกันและกัน (COOPERATION)
พฤติกรรมมนุษย์ตามแนวจิตวิทยา
นักสังคมวิทยา เชื่อว่าพฤติกรรมมนุษย์ขึ้นอยู่กับอิทธิพลของสิ่งแวดล้อมหรือสภาวะภายนอกทั้งปวง (ETERNAL CONDITIONS) ที่อยู่รอบตัวของมนุษย์ ทั้งสิ่งที่มีรูปร่างและไม่มีรูปร่างตลอดจนพลังงาน
เหล่านี้ถือว่าเป็นสิ่งแวดล้อมที่มีอิทธิพลเหนือมนุษย์ทั้งในแง่ที่อำนวยให้เกิดผลดี และผลร้าย โดยที่มนุษย์ไม่มีทางหลีกหนี เราอาจจะแบ่งประเภทของสิ่งแวดล้อม ออกเป็น 3 ประการใหญ่ ๆ คือ
1. สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ
2. สิ่งแวดล้อมทางสังคม
3. สิ่งแวดล้อมทางครอบครัว
อิทธิพลของสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ เหล่านี้ ทำให้มนุษย์มีพฤติกรรมที่จะหาทางต่อสู้และเอาชนะทำให้เกิดวัฒนธรรม รูปแบบต่าง ๆ ขึ้น เช่น การคิดประดิษฐ์สิ่งต่าง ๆ การเพาะปลูก การสร้างถนนหนทาง การสร้างเครื่องมือสื่อสาร เป็นต้น
- Na///SodiUmนักผจญภัยที่ใหญ่ยิ่ง
- จำนวนข้อความ : 450
ชื่อเสียง&น้ำใจ : 81
วันเกิด : 09/03/1995
งานอดิเรก : อ่านหนังสือ(นิยาย,การ์ตูน) , ฟังเพลง , ดูหนัง
Re: ความหมาย จิตวิทยา
Sun Nov 04, 2012 9:34 pm
ท่าหมัดแรงx2
This dice is not existing.
This dice is not existing.
- Lightdramonผู้รวบรวมความจริง
- จำนวนข้อความ : 1674
ชื่อเสียง&น้ำใจ : 97
วันเกิด : 01/01/1992
งานอดิเรก : ดูอนิเม,ซีรีย์,ฟังเพลง,ดูทีวี,อ่านหนังสือ
Re: ความหมาย จิตวิทยา
Sun Nov 04, 2012 9:35 pm
Precure Dai Bakuhatsu!!
This dice is not existing.
This dice is not existing.
- lin_raknaผู้ชนะเกมสิบทิศ
- จำนวนข้อความ : 1094
ชื่อเสียง&น้ำใจ : 70
วันเกิด : 18/07/1991
งานอดิเรก : อ่านตูน ดูเมะ เสพโดจิน...
Re: ความหมาย จิตวิทยา
Sun Nov 04, 2012 10:14 pm
ลูกถีบนามิ
This dice is not existing.
This dice is not existing.
- /Charcoal/ผู้รวบรวมความจริง
- จำนวนข้อความ : 2222
ชื่อเสียง&น้ำใจ : 171
วันเกิด : 02/03/1920
Re: ความหมาย จิตวิทยา
Mon Nov 05, 2012 4:43 pm
Irondragon Roar
This dice is not existing.
This dice is not existing.
- fourthผู้รวบรวมความจริง
- จำนวนข้อความ : 1812
ชื่อเสียง&น้ำใจ : 94
งานอดิเรก : มองฟ้าตอนกลางคืน
Re: ความหมาย จิตวิทยา
Sun Jan 06, 2013 12:57 am
This dice is not existing.
- fourthผู้รวบรวมความจริง
- จำนวนข้อความ : 1812
ชื่อเสียง&น้ำใจ : 94
งานอดิเรก : มองฟ้าตอนกลางคืน
Re: ความหมาย จิตวิทยา
Sun Jan 06, 2013 12:58 am
This dice is not existing.
- fourthผู้รวบรวมความจริง
- จำนวนข้อความ : 1812
ชื่อเสียง&น้ำใจ : 94
งานอดิเรก : มองฟ้าตอนกลางคืน
Re: ความหมาย จิตวิทยา
Sun Jan 06, 2013 1:02 am
This dice is not existing.
- /Charcoal/ผู้รวบรวมความจริง
- จำนวนข้อความ : 2222
ชื่อเสียง&น้ำใจ : 171
วันเกิด : 02/03/1920
Re: ความหมาย จิตวิทยา
Fri Feb 08, 2013 1:11 pm
sheimi
- khaw dissaroผู้ชนะเกมสิบทิศ
- จำนวนข้อความ : 958
ชื่อเสียง&น้ำใจ : 151
วันเกิด : 19/05/2002
งานอดิเรก : อ่านการ์ตูนและนวนิยายสืบสวนสอบสวน เล่นคอมพิวเตอร์
Re: ความหมาย จิตวิทยา
Sun Apr 20, 2014 2:30 pm
ขอบคุณค่ะ ทำให้เข้าใจความหมายจิตวิทยามากขึ้นเยอะเลย
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ